เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ชีวิตเด็กมันไร้เดียงสา ถ้าพ่อแม่จิตใจดีงามนะ เด็กจะน่ารักมาก แล้วทุกคนมีสิทธิเท่ากัน เพราะทุกคนผ่านชีวิตวัยเด็กมาก่อนหมดเลย ไม่มีใครไม่เคยผ่านชีวิตวัยเด็กมา แต่ชีวิตของบางคนเป็นเด็กหญิงแล้วก็เป็นแม่เลย เป็นเด็กชายแล้วก็เป็นพ่อเลย มันไม่มีวัยเด็ก ไม่มีวัยสุข

นี่พูดถึงกรรม กรรมของคนจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เกิดมาแล้วเห็นไหม เกิดมาเพื่อแก้ไข แต่เราเกิดมาแล้วเราตื่นในโลก เกิดมาแล้วมันต้องมีหน้าที่การงาน เกิดมาแล้วต้องมีศักยภาพทางสังคม อันนั้นก็มี ถ้ามีอย่างนี้นะมันเป็นอำนาจวาสนาของใจดวงนั้นมันเป็นไปนะ มันเป็นไปได้ พูดถึงถ้ามันมีตามเป็นธรรม มันสมควร มันไม่ผิดหรอก ไม่ผิดนะ

ในการแสวงหาสมบัติพัสถานนี่ไม่ผิดนะ แต่ถ้าเราเกิดมามันไม่ผิด มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้ามันเป็นไปโดยตัณหาความทะยานอยาก เราแก้ไขของเรา ความเพียรชอบ..

โคนันทวิสาล มีในพระไตรปิฎกนะ เป็นพระโพธิสัตว์ชาติหนึ่งหรือไงนะ ถ้าพูดดีโคนันทวิสาลเป็นไปได้หมด ถ้าพูดไม่ดี เทวดาต้องให้ช่วยตัวเองก่อน ถ้าเราช่วยตัวเองถึงที่สุดแล้วนี่ความเพียรชอบ มันจะทุกข์จนเข็ญใจ มันจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน เราก็มีความเพียรของเรา เพราะอันนั้นเป็นสมบัติภายนอก สมบัติที่มันมีมาเพื่อดำรงชีวิต เพื่อรักษาสถานะทางสังคม

แต่หัวใจนะ ดูสิ ดูอย่างคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ดูหลวงตานี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีบริขาร ๘ นะ ไปเปิดกุฏิสิ ไม่มีอะไรหรอก มีแต่ผ้าปูนอน ในกุฏิสมบัติส่วนตัวมีแต่ผ้าปูนอน ไม่มีอะไรเลย แต่อยู่กับโลกด้วยความสุข ด้วยความรื่นเริงอาจหาญเห็นไหม เราต้องหามาสะสมไว้มากมายเลย แล้วเราทุกข์ ของท่านนั้นไม่ต้องมี เห็นไหมคนจนผู้ยิ่งใหญ่

ถ้าพูดถึงว่าคนจนโลกเขาก็มองว่าจน เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ท่านบอกว่า “ถ้าพูดถึงทางโลกท่านเหมือนคนโง่” คือท่านไม่แสวงหา ท่านไม่สะสมสิ่งใดๆ เลย เหมือนคนโง่ คนไม่ทันคน

แต่ถ้าพูดถึงทางธรรม ทางธรรมเป็นผู้เสียสละเพื่อให้โลกร่มเย็นเป็นสุข ใครทุกข์จนเข็ญใจ นึกไม่ออกก็คิดถึงหลวงตาก่อน โรงพยาบาลทุกโรงพยาบาลต้องมาขอความช่วยเหลือ ทุกคนคิดไม่ออกก็มาหาท่าน เพราะคนเขาไว้ใจ สิ่งที่เป็นทางธรรมมันยิ่งใหญ่

ในชีวิตเราก็เหมือนกัน สถานะทางสังคม ความแสวงหาเพื่อโลก เพื่อโลกคือเพื่อร่างกาย เราเป็นร่างกาย เราเป็นนาย ก.นาย ข. นาย ง . เราเกิดมาเป็นใคร เราเกิดมาเป็นลูกของพ่อของแม่ เราเกิดมาเป็นลูกในวงศ์ตระกูล ตระกูลของเราๆ ก็ต้องรักต้องสงวนเป็นธรรมดา นี่เรื่องของโลกนะ..

ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ เรื่องของธรรมเวลาเราออกประพฤติปฏิบัติ ทุกคนต้องการความเป็นอิสระนะ ต้องการปลดปล่อยจิตใจให้มันเป็นอิสระ จิตใจที่มันไม่เป็นอิสระเพราะมันมีข้อมูลของมัน เพราะมันมีสัญญา มีความเชื่อความศรัทธาออกมา มีความเชื่อของมัน แม้แต่ความเชื่อความศรัทธา ความต้องการ มันก็เป็นสิ่งเหนี่ยวรั้ง เพราะอะไร เพราะแรงปรารถนา ตัณหาความทะยานอยาก แต่อยากแล้วถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราอยากอย่างนี้แปรให้มันเป็นอยากในการกระทำ อยากในมรรค อยากในการกระทำให้มันถึงเป้าหมาย

การถึงเป้าหมายนะ พอเป็นอิสระ ความเป็นอิสระของมันเห็นไหม ดูสิ คนโทสจริต โมหจริต จริตของคนมันแตกต่างกัน คนที่จริตมันแตกต่างกัน ความเหนี่ยวรั้งของใจมันก็แตกต่างกัน ความชอบ ความพอใจ มันแตกต่างกันไป ถ้าคนปลดเปลื้องให้เป็นอิสระด้วยกันให้หมด

ถ้าเป็นอิสระ นี่สัมมาสมาธิ จิตมันปลดเปลื้องออกไป ความสุขจากภายใน ความสุขของโลก ความสุขที่เราแสวงหาเพื่อสังคม สังคมมันมีนะ มันมีสังคมของมัน ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ เวียนเกิดเวียนตายนี่เราไม่เข้าใจหรอก

พระโพธิสัตว์เห็นไหม เป็นพระเวสสันดรแล้วมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สิ่งที่สร้างสมไว้ เราเป็นกษัตริย์ เราได้สร้างอาณาจักรไว้ แล้วเราก็ไปเกิดเป็นลูกกษัตริย์ ไปเกิดในอาณาจักรนั้น ไปเกิดเป็นคนทุกข์จนเข็ญใจ ไปเกิดเป็นคนใช้ ไปเกิดเป็นอะไร เราเวียนตายเวียนเกิดในสมบัติเดิมของเรา เราไม่รู้เรื่องหรอก เราไม่รู้ของเรา แต่อำนาจวาสนาด้วยกรรมด้วยเวรมันเป็นไปนะ นี่ผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะคือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วเราเชื่อหรือไม่เชื่อล่ะ ถ้าเราเชื่อของเราๆ แสวงหาสิ่งนี้ มันเกี่ยวเนื่องกันว่าสมบัติโลกมันก็มีหัวใจเป็นผู้แสวงหา สมบัติธรรมมันก็มีใจเป็นผู้แสวงหา แต่สมบัติธรรมเป็นสมบัติจากภายใน เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์จากภายใน มันมีความอิ่มเต็มได้นะ

สมบัติทางโลกมันอิ่มเต็มไม่ได้นะ อิ่มเต็มไม่ได้หรอก เพราะโลกนี้มันพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีสิ่งใดอิ่มเต็มได้ มันเป็นอนิจจัง มันจะแปรสภาพของมันไปเป็นธรรมดา ดูซิ รัฐบาลเขาตั้งงบประมาณสร้างถนนหนทาง ก็ต้องตั้งงบประมาณไว้เพื่อซ่อมแซมรักษามันต่อไป เขาต้องเตรียมตัวค่าเสื่อมสภาพค่าอะไรต่างๆ ไป

ชีวิตเราก็เสื่อมสภาพนะ ตั้งแต่เกิดแล้วมันเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา แล้วชีวิตเรามีอะไรติดไม้ติดมือไปล่ะ สมบัติของทางโลกเรารักษาไว้เป็นมรดกตกทอดให้กับวงศ์ตระกูล แต่สมบัติของเรานะ สมบัติทางจิตใจมันจะตกทอดกับเรา มันจะเป็นพันธุกรรม มันจะตัดแต่งหัวใจของเรา

ดูสิ เวลาเราเห็นผู้ที่บริหารจัดการ ทำไมเขามีเชาว์ปัญญา ทำไมเขาคิดการอย่างนั้นได้ ทำไมเขาคาดการณ์ถูกต้อง เชาว์ปัญญาอย่างนี้มันเกิดจากการมีศีลมีธรรมนี่ไง ถ้ามีศีลมีธรรมมันเกิดเชาว์ปัญญา เห็นไหม

ดูสิ ดูอย่างจูฬบันถก ในชาติหนึ่งเป็นพระที่มีภูมิปัญญามาก เป็นผู้ที่ฉลาด แล้วเห็นพระเขาสวดปาติโมกข์ สวดปาติโมกข์.. คนที่เขาปัญญาปานกลางหรือปัญญาที่เขาสวดไม่ได้ เขาต้องสวดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไปหัวเราะเยาะเขา กรรมอันนั้นมาเกิดเป็นจุลปันถก พี่ชายคือมหาปันถกะให้ท่องคาถาบทเดียว ท่องไม่ได้ ! ท่องไม่ได้นะ.. จนให้ไปสึก แล้วพระพุทธเจ้าถามว่า

“เธอบวชเพื่อใคร”

“บวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

พระพุทธเจ้าถึงให้ลูบผ้าขาวนะ อำนาจวาสนาของคนมันสร้างมา มันมีตกเป็นพื้นฐาน ของใจ มันมีของมันอยู่ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ แต่ทำไมท่องคาถาคำเดียวท่องไม่ได้ แต่ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ล่ะ

นี่ไง จิตใจพื้นฐานมันมี นี่อำนาจวาสนาของคน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันสะสมมา แต่ผลที่ให้ ผลมันอะไรให้ก่อนให้หลัง ถ้าเรารักษาใจของเรา ภูมิปัญญา ปฏิภาณไหวพริบในการสร้างสม เราทำสมาธิ เราใช้ปัญญาของเรา ปฏิภาณไหวพริบ.. แม้แต่การบริหารจัดการทางโลก มันก็บริหารจัดการประสบความสำเร็จ

การบริหารจัดการในหัวใจ มันเอาอะไรไปบริหารล่ะ มันเป็นนามธรรม ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะจะไปจับต้องสิ่งใดๆ ได้ ถ้าไม่มีสตินะเราจะไม่เห็นความรู้สึกจากภายในเลย ทรัพย์อันนี้ ทรัพย์สำคัญมาก สำคัญในเรื่องของศาสนานะ เรื่องนามธรรม เรื่องของหัวใจ เป็นสิ่งที่สัมผัสกับธรรมะ แล้วถ้าสัมผัสกับธรรมะ สิ่งที่เป็นนามธรรมก็นึกเอา คิดเอาซิ.. นึกเอา คิดเอามันก็เป็นเรื่องของกิเลส นึกเอาคิดเอาก็เป็นตัณหาความทะยานอยาก เพราะนึกคิดเอาคิดเอามันถึงได้ทุกข์อยู่นี่ไง

แต่ถ้าเราแปรความนึกเอาคิดเอา ให้เป็นความเพียร ให้เป็นความนึก ความอยาก การกระทำ สิ่งที่เป็นการกระทำมันบดบี้กิเลสไปนะ เวลาจิตมันตั้งเป็นสมาธิขึ้นมา เราจะมีหลักมีเกณฑ์ของเรา แล้วเกิดถ้าเป็นปัญญาของเรา ปัญญานี่ มรรคญาณ ดูสิ ดูสมาธิ เรารู้จักสมาธิของเรา สมาธิธรรม ปัญญาธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะอย่างนี้เป็นอนิจจังหมด !

แม้แต่สิ่งข้างนอก สิ่งที่เป็นวัตถุมันยังแปรสภาพ เป็นความคิด เป็นสิ่งที่สมมุติมันแปรสภาพ สิ่งที่มันแปรสภาพอยู่เห็นไหม สมาธิอยู่กับเราตลอดไปได้ไหม เราสร้างสมาธิ เราทำจิตสงบขึ้นมา กว่าจะทำได้ต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน มันอยู่กับเราชั่วคราวเห็นไหม เพราะอะไร เพราะเหตุไง ดูสิ เหตุแค่นั้นมันก็ได้ผลแค่นั้น

แต่ถ้าเรามีความชำนาญของเรา เรารักษาของเรา แล้วถ้ามันมีความสงบใจขึ้นมา เราก็ย้อนกลับมาดูเหตุดูผลของเรา เหตุมันต้องมีสติ เหตุมันต้องมีสำรวมระวัง มันต้องมีอินทรีย์สังวร สังวรในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สังวรระวังไว้อย่าให้มันไปกระทบกับสิ่งใด อย่าให้สิ่งใดมาคุ้ยเขี่ยมัน ถ้าคุ้ยเขี่ยมัน มันจะฟุ้งไปตามเขา

ปุถุชน.. สมาธิของปุถุชนมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน สมาธิของกัลยาณปุถุชน มันจะเห็นนะ มันจะพิจารณาไป มันใช้สมาธิไป มันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญอย่างนั้น จนเห็นโทษของมัน จนหาวิธีการรักษา

รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เสียงกระทบ ฟังเสียงกระทบ รูป รส กลิ่น เสียง สิ่งที่พอใจ มันไปคุ้ยไปเขี่ย แล้วมันมีตัณหาความทะยานอยากเหมือนกับมันมีเชื้อโรคอยู่ในหัวใจ สิ่งใดไปคุ้ยไปเขี่ยมัน มันก็ต้องมีแรงปรารถนา มีความต้องการ มันก็ฉุดกระชากความคิดฟุ้งซ่านไป คิดตรึกไป มีแต่ความทุกข์ความยากทับถมใจ พอมันมีเหตุมีผลเพราะมันเคยทุกข์เคยยากขึ้นมา

สมาธิ ! มันเจริญแล้วเสื่อม ปัญญาเจริญแล้วเสื่อม ทุกอย่างเจริญแล้วเสื่อม มันเจริญแล้วเสื่อม เราต้องสร้างเหตุ เราต้องรักษา ต้องมีสติสัมปชัญญะของเรา เราสำรวมระวังของเรา เรารักษาอินทรีย์ของเรานะ เขาจะทำอย่างไรมันเรื่องของเขา เรื่องของเราต้องรักษาสมบัติของเรา สมบัติคือสิ่งที่เป็นสมาธิธรรม สมาธิธรรมนะถ้าเรารักษาให้มันสงบเข้ามา ความสุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

จิตนั้นสงบ จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมา แล้วฝึกฝนทางปัญญา มันจะเห็นเอง คนที่ภาวนาเป็นจะเห็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดจากกิเลสมันเป็นสัญญา ปัญญาที่เกิดจากธรรม ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิมันจะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เหนือโลก ปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ปัญญาอย่างนี้มันทันความคิด มันทันความรู้สึกของเรา มันยับยั้งได้หมด แต่มันก็เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร เสื่อมเพราะฐานของสมาธิมันอ่อนแอ ถ้าฐานของสมาธิมันเข็มแข็ง ปัญญานี้มันจะเข้มแข็ง

ดูสิ ดูปฏิภาณไหวพริบที่ว่า ปฏิภาณไหวพริบของคนมันมาจากไหน มันมาจากบุญกรรม แต่ปฏิภาณในการประพฤติปฏิบัติ ปัญญาที่เกิดขึ้นมา ปัญญาเกิดจากมรรค เกิดจากการกระทำเกิดจากอริยสัจ เกิดจากสัจจะความจริง

สัจจะความจริงเกิดขึ้นมาจากเรา เราเป็นคนรื้อค้นขึ้นมา ธรรมะที่มีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม มันอยู่ในหัวใจของเรา มันมีพลังงาน มันมีสัจจะความจริงของมัน แต่ทุกคนไม่เคยค้นคว้าขึ้นมา ทุกคนไม่เคยรื้อค้นขึ้นมา ทุกคนใช้โลกียปัญญา ปัญญาจากเปลือก ปัญญาจากพลังงาน ปัญญาจากตัณหาความทะยานอยาก ปัญญาอย่างนี้ศึกษาธรรมขึ้นมา มันก็มีความสกปรกของกิเลสตัณหาความทะยานอยากบวกเข้าไป เราก็ต้องทำความสงบของใจเข้ามา จิตมันสงบก็คือมันกดตัวตน กดตัณหา กดอัตตา กดลงไป

ถ้ากดลงไปมันเป็นสากล ศีลสมาธิเป็นสากล จิตที่สงบเป็นสากล แต่สากลแบบโลก สากลแบบวัฏฏะ สากลแบบจิตที่มีภพ มีสถานที่ มันยังหมุนเวียนตายเวียนเกิด เหมือนฤๅษีชีไพรเข้าฌานสมาบัติขนาดไหน เหาะเหินเดินฟ้าได้ขนาดไหน

นี่ไง เหาะเหินเดินฟ้า ฌานโลกีย์มันเป็นโลกียปัญญา เป็นฌานโลกีย์ เป็นปัญญาของโลก ปัญญาของโลกมันมีพลังงานกันได้ขนาดนั้น คนตื่นเต้นไปกับมันเพราะอะไร เพราะเป็นสมบัติของเราแต่มันเป็นอนิจจังนะ มันไม่คงที่หรอก มันเป็นสมบัติที่แปรสภาพ

แต่สมบัติที่เป็นความจริง ตั้งแต่เราเห็นรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นเครื่องล่อ เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดตัณหาความทะยานอยาก เราทำความสงบของใจเข้ามา ให้มันสงบเข้าไปแล้วเห็นจิต เห็นอาการของจิต เห็นความเป็นไปของมัน เห็นรูป รส กลิ่น เสียง เป็นอาการที่มันมาขุดคุ้ย แล้วเราจับมันวิปัสสนาขึ้นไป

จนถึงสุดท้ายแล้วนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์.. คลายสิ่งที่กระทบ จิตที่มันกระทบมันแยกส่วนเป็นอิสระต่อกัน มันจริงตามสัจจะนะ เสียงมันจริงตามเสียง แต่มันเป็นอนิจจัง กายก็จริงของมัน

ดูสิ ชีวิตเรามันเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่มันต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของเวรของกรรมที่เกิดมามีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้ค้นคว้าของเรา โอกาสทางโลก โอกาสทางธรรม โอกาสนั้นเราจะเอามาใช้ของเรา แล้วมันก็ต้องสิ้นไปเป็นทั้งชีวิตหนึ่งของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่ถึงที่สุดเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี ก็ไปเกิดใน ๗ ชาติ ๓ ชาติ ๑ ชาติ ต่อสู้กันต่อไป

แล้วถ้าถึงที่สุด มันดับสิ้นที่นี่ นี่ไง สิ่งที่มันไม่เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็น สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรม.. สมาธิ ปัญญา เป็นอนัตตา เป็นอนิจจัง เป็นการแปรสภาพทั้งหมด แต่อกุปปธรรม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี สิ้นกิเลสไป มันไม่เป็นอนิจจัง มันเป็นสัจจะความจริง แล้วไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งที่มารเห็น สิ่งที่เป็นสถานะ

นี่ไง มันมหัศจรรย์ ภวาสวะภพ ภพนี่มันมีสถานที่อยู่ ทำไมมันเป็นกิเลสล่ะ มันเป็นภพเป็นกิเลสเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นอนุสัย กิเลสมันอยู่ในเนื้อของภพ อนุสัยที่นอนเนื่องมากับใจ นอนเนื่องมากับภพ มันถึงไปปฏิสนธิจิต มันถึงเกิดในครรภ์ของมารดา มันถึงเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

เทวดา อินทร์ พรหมเกิดอย่างไร ก็ภพนี่ไปเกิด ปฏิสนธิจิตไปเกิดเพราะบุญกุศล บุญกุศลที่มันขับเคลื่อนไป แต่มันมีอวิชชาความไม่รู้อยู่นอนเนื่องไป เพราะพรหมก็ไม่รู้ชีวิตว่ามันต้องเป็นวัฏฏะ คิดว่าจะอยู่เป็นพรหมตลอดไป พอหมดอายุขัยเขาก็หมุนของเขาไปเป็นธรรมดา

ถึงที่สุด มรรคญาณมันเข้าไปรื้อค้นถึงภพ ถึงสถานที่ ภพที่มันทำลายแล้ว ทำลายสถานที่ทำลายทุกๆ อย่างมันถึงเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่เป็นอกุปปธรรม อะคืออฐานะ อะคือไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการบุบสลาย มันคงที่ของมัน นี่คือที่สุดของธรรม ธรรมมันเป็นอย่างนี้ แล้วมันอยู่ที่ไหน

มันอยู่ในหัวใจของเรานะ มันอยู่ที่ชีวิตของเราที่มันเกิดมาตั้งแต่ไร้เดียงสา ถ้ามันไร้เดียงสามันก็มีความสุขของมัน พอเราโตขึ้นมาเราจำสภาวะนั้นไม่ค่อยได้แล้ว เราจะคิดถึงชีวิตในปัจจุบัน ในชีวิตที่เราเป็นผู้ใหญ่ เราต้องหาทรัพย์สมบัติ หาต่างๆ มันก็คิดแต่การไขว่คว้าแสวงหา แล้วเวลาถึงที่สุดมันก็หมดไป ชีวิตนี้ก็หมดไป แล้วมันก็จะเวียนไปอีก แล้วบุญกุศลมันก็พาไป เห็นไหม

แต่พอถึงที่สุดนะ มันทำลายที่สุด มันจะเห็นเลย บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตที่มันเกิดตาย.. เกิดตาย มันเกิดตายมากี่ชาติ ไม่มีต้นไม่มีปลายมันละกันอย่างไร มันชำระล้างกันอย่างไร มันถึงที่สุดอย่างไร

นี่จากชีวิตไร้เดียงสา เห็นแล้วมันก็มีความสุข เป็นความสุขเพราะอะไร เพราะคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แต่มันเป็นอนิจจัง มันไร้เดียงสาอย่างนี้ไม่ได้ มันต้องโตขึ้นมา มันต้องมีภาระรับผิดชอบ ต้องรับผิดชอบชีวิต นี่งาน ! คนจะมีคุณงามความดีเพราะมีผลของงาน งานกระทำไง แต่งานข้างนอก ! งานข้างนอกทำให้เป็นประวัติศาสตร์จารึกไว้ คนนั้นเป็นคนดี คนนั้นคนเป็นเลว แต่งานในอริยทรัพย์ มันสะสมไว้ในภพในใจ

ประวัติศาสตร์นี่เขียนไว้บนโลกนะ โลกศึกษากัน แต่สมบัติภายในมันจารึกไว้ที่ใจ มันจารึกไว้เป็นคุณงามความดี จารึกไว้เป็นบาปอกุศล แล้วผลอันนี้มันขับเคลื่อนให้เกิดดีเกิดชั่ว แล้วเกิดกันไป ชีวิตเป็นอย่างนี้

ถ้าเราเข้าใจปั๊บ เราจะเห็นว่างานข้างนอกงานข้างใน ว่างๆ ก็กำหนดลมหายใจเข้า นึกพุท นึกโธ ทำไว้อย่างนี้ สมบัติอย่างนี้ลองทำดู แล้วถ้ามันสงบขึ้นมาเราจะเห็นคุณค่าของใจ เราจะเห็นคุณค่าของมันมาก

แล้วสมบัติข้างนอกนะ ดูสิ พระปฏิบัติเรานี่ปัจจัยเครื่องอาศัย แค่อาศัยมัน ไม่ไปเอาเป็นตัวหลัก ตัวหลักคือความเพียร ตัวหลักคือหัวใจ จับตัวหลักนี้ให้ได้ แต่มันต้องอาศัยไป ชีวิตนี่มันต้องอาศัยอาหาร ชีวิตนี้ต้องอาศัยปัจจัย ๔ เครื่องดำรงชีวิต มันต้องอาศัยโลก อยู่กับโลก

เราก็เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์เราอาศัยมัน เราหามันด้วยสัจธรรม ด้วยความเป็นศีลเป็นธรรม ถ้ามีมานั่นก็คือถูกต้อง ไม่เสียหาย แต่มันเป็นสิ่งที่มันเร่งเร้าจนเราเป็นความทุกข์ อันนั้นเป็นตัณหาความทะยานอยาก มันเผารนเรา มันทำให้เราเร่าร้อน เราสลัดมันทิ้ง

ทำหน้าที่การงานจากโลก อยู่กับโลกต้องมีงาน อยู่กับพระ พระก็ต้องปฏิบัติ พระก็ยังต้องมีงาน งานในการประพฤติปฏิบัติ งานโลก งานธรรม เราเกิดมามีกายกับใจ แล้วแสวงหาเอา ชีวิตนี้จะรุ่งเรือง เอวัง